วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ☆ღ☆

      คำที่ใช้อยู่ในภาษาไทย มีทั้งคำไทยที่คนไทยสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งบางทีเรียกกันว่า "คำไทยแท้" กับคำที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเรียกกันว่า "คำยืม" นักเรียนควรจำแนกคำไทยออกจากภาษาต่างประเทศได้ เพื่อเป็นพื้นฐานความเข้าใจเรื่องอิทธิพลของภาษาต่างประเทศที่มีต่อภาษาไทย และเป็นประโยชน์ในการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรมให้เข้าถึงสุนทรียรสและอรรถรสด้วย

การจำแนกคำไทยออกจากภาษาต่างประเทศได้
นักเรียนต้องเข้าใจลักษณะของคำไทย
และลักษณะของคำภาษาต่างประเทศภาษาต่าง ๆ                              
ที่ไทยยืมมาใช้ในภาษาไทย ดังนี้

                                             การสังเกตลักษณะคำไทย

๑. มักเป็นคำพยางค์เดียว เช่น น้อง นั่ง ชม เดือน เห็น ดาว เต็ม ฟ้า
๒. สะกดตรงตามมาตรา เช่น เลก วัด นับ กุ้ง จน ลม วาย แล้ว
๓. ไม่มีตัวการันต์ เช่น โล่ มน ยัน อิน มีคำไทยแท้ที่มีตัวการันต์อยู่บ้าง ทั้งนี้เนื่องจาก
การแผลงอักษร เช่น ผิว (ผิว่า, ถ้าว่า, แม้นว่า, หากว่า) แผลงเป็น ผี้ว์
๔. ไม่อาจจะอ่านแยกพยางค์ได้ เช่น (เฉียบ)คม, วก(วน) จะไม่อ่านแยกเป็น
(เฉียบ-คะ-มะ), (วะ-กะ-วะ-นะ)

                                                                   ข้อสังเกต


มีคำยืมบางคำที่มีลักษณะเหมือนคำไทยแท้ เช่น แสะ(ม้า) บาย(ข้าว) ทั้งสองคำนี้เป็นคำยืมมาจากภาษาเขมร คำยืมลักษณะนี้นักเรียนจะต้องจดจำเป็นพิเศษ เพราะไม่อาจจะสังเกตจากลักษณะที่แตกต่างกันได้

                        การสังเกตลักษณะคำภาษาบาลีคำภาษาสันสกฤต(รวมๆกันทั้ง ๒ ภาษา)

๑. มักเป็นคำสองพยางค์ขึ้นไป เช่น อัชฌาสัย วัฒนา
๒. ถ้าเป็นคำพยางค์เดียว มักอ่านออกเสียงแยกพยางค์ได้ในบางบริบท ต่างกับคำไทย
ที่ไม่ออกเสียงแยกพยางค์ เช่น คม ชน ในบางบริบทอาจจะอ่านแยกพยางค์ เช่น
คมนาคม ออกเสียงว่า คะ-มะ-นา-คม, ชนาธิปไตย ออกเสียงว่า ชะ-นา-ทิบ-ปะ-ไต ๓.มักสะกดไม่ตรงตามมาตรา เช่น เลข รถ (นอกจากสะกดไม่ตรงตามมาตรา แล้วยัง
แสดงว่าเป็นคำบาลีสันสกฤตในลักษณะข้อ ๒ คือ ออกเสียงแยกพยางค์ได้
เช่น เลขา รถา)
๔. มักมีตัวการันต์ เพราะคำภาษาบาลี-สันสกฤตมักมีหลายพยางค์ เมื่อเรายืมมาใช้
จึงใช้เครื่องหมายทัณฑฆาต ( ์ ) ฆ่าอักษรที่ไม่ต้องการออกเสียงให้จำนวนพยางค์
น้อยลง เพื่อให้เข้ากับลักษณะคำไทยที่มีน้อยพยางค์ เช่น พันธุ์ โพธิ์ กาญจน์ กษัตริย์
๕. มีการแผลงหรือการเปลี่ยนแปลงสระและพยัญชนะดังนี้
สระสั้น -->ยาว / ยาว -->สั้น เช่น วน(วะ-นะ หมายถึง ป่า) --> วนา
สุริย -->สุรีย, ปีติ -->ปิติ, นีล -->นิล
สระอิ --> สระเอ --> สระไอ เช่น หิรัญ-->เหรัญ -->ไหรัญ
สระอุ --> สระเอ --> สระไอ เช่น อุรส -->โอรส -->เอารส
มหุฬาร -->มโหฬาร -->มเหาฬาร
ว -->พ, เช่น วนา -->พนา, ทิวา -->ทิพา
ฏ -->ฎ, เช่น กุฏิ --> กุฏี, ฏีกา --> ฎีกา
ต -->ด, เช่น ตุรงค์ -->ดุรงค์, ตารา -->ดารา
ป -->บ เช่น ปัทม์ -->บัทม์, ปิตา -->บิดา
๖.ใช้พยัญชนะต่อไปนี้ ฆ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ธ ภ ศ ษ ฬ เช่น เมฆ อัชฌาสัย ปัญญา
ฎีกา กุฏิฐาน ครุฑ วัฒนา แพร อาวุธ ภัย ศรี เกษียณ จุฬา

                                                            

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553


                                                            ลูกชุบ...
                                                                     
         ส่วนผสม  
ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1 1/3 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
         วิธีทำ
1.แช่ถั่วเขียวประมาณ 1-2 ชั่วโมง นึ่งให้สุกนุ่ม แล้วบดให้ละเอียด
2.หัวกะทิตั้งไฟอ่อนๆ ใส่นำตาลทรายลงเคี่ยวให้นำตาลละลายหมด ใส่ถั่วลงกวนกับกะทิตั้งไฟอ่อนๆ กวนให้แห้งจนถั่วล่อนออกจากกระทะ
3.เทถั่วที่กวนได้ที่แล้วลงในถาดหรือชามพักไว้ให้เย็น
4.ปั้นถั่วเป็นรูปผลไม้เล็กๆ ตามต้องการ แล้วระบายสีผลไม้ที่ปั้นไว้ให้เหมือนจริงพักไว้ให้สีแห้ง
5.ผสมผงวุ้นกับน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟอ่อนๆ จนวุ้นละลายหมดยกลง วางพักไว้สักครู่
6.นำผลไม้ที่ระบายสีไว้ ชุบวุ้นให้ทั่ว พักไว้ให้แห้งแล้วชุบอีก 2 ครั้ง ปล่อยให้แห้งจึงนำไปตกแต่งให้สวยงาม




วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ใบความรู้เรื่อง ...ขนมชั้น...

ส่วนผสม


1. แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ

2. แป้งท้าวยายม่อม 1 ถ้วย

3. แป้งมัน 2 ถ้วย

4. แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ

5. หัวกะทิ 4 ถ้วย

6. น้ำตาลทราย 3 ถ้วย

7. น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย

8. สีผสมอาหารตามชอบ

9. พิมพ์สำเร็จรูป




วิธีทำ
1. เริ่มทำน้ำเชื่อมก่อนเป็นอันดับแรก โดยนำน้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย ผสมกับน้ำตาลทราย 3 ถ้วย คนให้น้ำตาลละลาย
2. ผสมแป้งถั่วเขียว แป้งท้าวยายม่อม แป้งมัน แป้งข้าวเจ้า เข้าด้วยกัน จากนั้นค่อยๆ เติมน้ำกะทิลงไปทีละนิด นวดไปเรื่อยๆ (เติมไปนวดไป) จนกะทิหมด จากนั้นเติมน้ำเชื่อมลงไปคนให้เข้ากัน
3. แบ่งส่วนผสมออกมาทีละส่วนซึ่งแต่ละครั้งควรตวงให้ได้ในปริมาณที่เท่ากัน เพื่อให้ชั้นของขนมมีความเสมอกัน นำมาผสมสีผสมอาหารที่เตรียมไว้ ทั้งนี้ควรผสมให้มีทั้งสีเข้มและสีอ่อน
4. เทแป้งที่ผสมสีเรียบร้อยแล้วใส่พิมพ์ทีละชั้น สลับสีกันไป หรือจะไล่ระดับสีเข้ม สีอ่อนก็ได้
5. นำพิมพ์ที่เตรียมไว้ไปตั้งในลังถึง เมื่อพิมพ์เริ่มร้อน ค่อยๆเทแป้งที่เตรียมไว้สำหรับชั้นแรกลงไป รอประมาณ 5 นาที หรือกว่าชั้นแรกจะสุก ก่อนจะเทชั้นต่อไปจนครบทั้ง 9 ชั้น ขอเตือน อย่าใจร้อนเด็ดขาด เพราะหากเทชั้นต่อไปในขณะที่ชั้นก่อนหน้ายังไม่สุก อาจทำให้ชั้นของขนมรวมเข้ากันเป็นชั้นเดียวก็ได้ เมื่อสุกแล้ว ยกลง รอให้เย็น จึงแกะออกจากพิมพ์

สำหรับใครที่มีเวลาในการประดิดประดอย มากหน่อย ลองทำใส่พิมพ์สี่เหลี่ยมขนาดกลางดู เมื่อสุกแล้วตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ ลอกออกมาทีละชั้น ก่อนพับให้เป็นรูปดอกกุหลาบ มอบเป็นของฝากให้คนที่รัก